เชื่อว่าหลายคนเห็นหัวข้อแล้วอาจจะเกิดคำถามว่า ทำไมโรคเบาหวานถึงเกี่ยวข้องกับระบบภูมิคุ้มกัน ดูเหมือนจะห่างไกลกัน แต่ที่จริงแล้วมีความเกี่ยวข้องกันแทบจะแยกไม่ออก เพราะระบบภูมิคุ้มกันของเรามีหน้าที่สำคัญคือป้องกันเราจากสิ่งแปลกปลอมภายนอก หากเรามีภูมิคุ้มกันที่แข็งแรงมากพอ โอกาสที่เราจะเสี่ยงเป็นโรคติดต่อ หรือโรคไม่ติดต่อก็ลดน้อยลงไปด้วยครับ ผู้ป่วยเบาหวานมีโอกาสที่ภูมิคุ้มกันตกได้ง่ายกว่าคนปกติ ปัญหาที่ผู้ป่วยเบาหวานต้องเฝ้าระมัดระวังเป็นพิเศษ คือ การควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดให้คงที่ นั่นเพราะหากน้ำตาลในเลือดสูงกว่าปกติ ก็อาจจะเสี่ยงที่ภูมิคุ้มกันในร่างกายไม่สามารถทำงานได้อย่างเต็มที่ เพราะน้ำตาลในกระแสเลือดสูงนั่นเอง จึงทำให้ผู้ป่วยโรคเบาหวานที่ไม่สามารถควบคุมน้ำตาลให้คงที่ได้ มีโอกาสที่จะมีโรคแทรกซ้อน ไม่ว่าจะติดเชื้อไวรัส แบคทีเรีย หรือสิ่งแปลกปลอมได้ง่ายกว่าปกติอีกด้วย นี่เลยเป็นเหตุผลที่สำคัญว่าทำไมการกระตุ้นภูมิคุ้มกันในผู้ป่วยที่เป็นโรคเบาหวานถึงมีความจำเป็นอย่างมาก โรคเบาหวานชนิดที่ 1 เกิดจากภูมิคุ้มกันในร่างกายทำลายเซลล์อินซูลินในตับ แม้จะเป็นชนิดเบาหวานที่ไม่ได้พบเจอบ่อยเท่ากับโรคเบาหวานชนิดที่ 2 แต่กลับเป็นชนิดเบาหวานที่ค่อนข้างมีความรุนแรง และมักจะเกิดขึ้นในเด็กและวัยรุ่น ต้องรักษาด้วยการฉีดอินซูลิน และหากขาดอินซูลินอาจจะทำให้เกิดภาวะหมดสติจากน้ำตาล และกรดกีโตนคั่งในเลือดได้ ที่สำคัญหากตรวจรักษาช้าอาจจะเจอภาวะแทรกซ้อนซึ่งทำให้อาการหนักและเรื้อรัง การดูแลผู้ป่วยโรคเบาหวานต้องส่งเสริมให้ระบบภูมิคุ้มกันทำงานได้เต็มที่ การกระตุ้นภูมิคุ้มกันสำหรับดูแลผู้ป่วยโรคเบาหวาน สามารถทำได้หลายวิธี เช่น 1. การรับประทานสารสกัดเบต้ากลูแคน นับเป็นหนึ่งในวิธีที่สะดวก ปลอดภัย และมีประสิทธิภาพในการกระตุ้นภูมิคุ้มกันได้สูง เนื่องจากเบต้ากลูแคนสามารถกระตุ้นเม็ดเลือดขาวที่ทำงานกับระบบภูมิคุ้มกันโดยตรงได้ดี บำรุงให้กลไกการสร้างภูมิคุ้มกันมีประสิทธิภาพ ทั้งยังเต็มไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระ มีการศึกษาว่าเบต้ากลูแคนสามารถช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดดีกว่าคนที่ไม่รับประทานด้วย ทั้งยังช่วยควบคุมคอเลสเตอรอล รวมไปถึงยังช่วยลดการอักเสบของเนื้อเยื่อได้ดี ที่สำคัญลดความเสี่ยงในการเป็นโรคมะเร็งได้ด้วยครับ 2. เลือกรับประทานอาหารที่ช่วยเสริมภูมิคุ้มกัน เช่น ผักใบเขียว เนื้อสัตว์ไม่ติดมัน ธัญพืชที่มีประโยชน์ รวมไปถึงผลไม้ที่มีวิตามินซี […]
รู้ได้อย่างไรว่าลูกพักผ่อนเพียงพอ พ่อแม่มีลูกวัยเรียนต้องสังเกต
การพักผ่อนด้วยการนอนสำหรับเด็กถือเป็นสิ่งสำคัญมากในการพัฒนาการด้านต่าง ๆ ของร่างกาย โดยเฉพาะสมองเพื่อพร้อมเรียนรู้สิ่งต่าง ๆ รวมไปถึงเรื่องสมาธิในการจดจ่อกับเรื่องหนึ่งได้ดี ยิ่งกับเด็กในช่วงวัยเรียนการพักผ่อนอย่างเพียงพอมีผลอย่างมากในการเรียนรู้และการจดจำเรื่องต่าง ๆ ที่ได้เรียนรู้ในแต่ละวัน แล้วจะรู้ได้อย่างไรว่าลูกของเราพักผ่อนอย่างเพียงพอ พ่อแม่จะช่วยลูกเรื่องนี้อย่างไรมาดูกันครับ เด็กในแต่ละวัยควรได้รับพักผ่อนที่เพียงพอสมวัย เช่น เด็กเล็ก ต้องการเวลานอนไม่ต่ำกว่า 10 ชั่วโมงในแต่ละวัน เด็กในวัยเรียน ต้องการเวลานอนประมาณ 9 – 12 ชั่วโมง เด็กช่วงวัยรุ่น ต้องการเวลานอนประมาณ 8 – 10 ชั่วโมง สังเกตว่าลูกนอนพักผ่อนเพียงพออย่างไร? เด็กในแต่ละวัยต้องการการพักผ่อนในเวลาที่แตกต่างกัน พ่อแม่สามารถสังเกตว่าลูกพักผ่อนเพียงพอหรือไม่ในแต่ละวันจากพฤติกรรมเหล่านี้ครับ – ตื่นมาแล้วสดใส ไม่งัวเงีย ปลุกแล้วตื่นเลยไม่งอแงขอต่อเวลา – ไม่หลับตอนกลางวัน อาจจะถามจากคุณครูที่โรงเรียน – รับประทานอาหารเช้าได้ปกติ ไม่เบื่อ ไม่เลี่ยงที่จะรับประทานอาหารเช้า – วางแผนในกิจกรรมของตัวเองในแต่ละวัน พ่อแม่อาจจะถามว่าวันนี้เรียนอะไรบ้าง – ลูกไม่ง่วงก่อนเวลา พยายามให้พวกเขาเข้านอนเวลาเดิม หากลูกง่วงก่อนเวลานั่นหมายความว่าเขาอาจจะพักผ่อนไม่เพียงพอ กับการใช้แรงในการทำกิจกรรมในแต่ละวัน – เลี่ยงการใช้อุปกรณ์สื่อสารก่อนนอน เพราะแสงสีฟ้าอาจจะทำให้เด็ก ๆ […]
PM2.5 ส่งผลต่อเด็กกว่าผู้ใหญ่ เสริมภูมิคุ้มกันอย่างไรให้เหมาะสม
หลายหน่วยงานด้านสารธารณสุขได้ออกมาเตือนกรณีฝุ่น PM2.5 เพิ่มขึ้นในปริมาณสูงทั่วประเทศ โดยเฉพาะกับกลุ่มเปราะบางอย่างเด็ก ผู้สูงอายุ หรือผู้ป่วยที่มีโรคประจำตัว เพราะกลุ่มคนเหล่านี้เสี่ยงที่จะได้รับผลกระทบมากกว่าคนอื่น โดยเฉพาะเด็กที่มีความสามารถในการป้องกันตัวเองต่ำ ทั้งยังต้องออกจากบ้านเพื่อไปโรงเรียน และทำกิจกรรมกลางแจ้ง มาดูว่าพ่อแม่จะมีวิธีป้องกันให้ลูก ๆ อย่างไรเพื่อไม่ให้ภูมิคุ้มกันตก เด็กเสี่ยงที่ภูมิคุ้มกันตกได้ง่ายกว่าผู้ใหญ่ เนื่องจากเด็กอยู่ในช่วงพัฒนาการทางด้านร่างกาย ทำให้อวัยวะหลาย ๆ ส่วนยังไม่สามารถทำงานได้อย่างเต็มที่เท่าในวัยผู้ใหญ่ โดยเฉพาะภูมิคุ้มกันที่ยังไม่แข็งแรง การที่ต้องเผชิญกับมลภาวะที่ส่งผลต่อร่างกายโดยตรง เสี่ยงที่เด็กจะได้รับผลกระทบมากกว่าหลายเท่า ทั้งร่างกายอาจจะยังไม่เคยเจอกับสิ่งแปลกปลอมต่าง ๆ จากไวรัส แบคทีเรีย ปรสิต ฯลฯ นั่นจึงทำให้ภูมิคุ้มกันในเด็กอ่อนแอและพ่อแม่ต้องเฝ้าระมัดระวัง PM2.5 ทำให้เด็กอยู่ในสภาวะอ่อนแอและภูมิคุ้มกันตกได้ง่ายขึ้น เนื่องจากเด็กอยู่ในวัยที่ร่างกายและอวัยวะต่าง ๆ กำลังเติบโต ปอดกำลังขยายตัว ทำให้พวกเขาหายใจถี่และเร็วกว่าวัยผู้ใหญ่ กิจกรรมกลางแจ้งแม้จะช่วยพัฒนาการของเด็ก แต่เมื่ออากาศเต็มไปด้วยฝุ่นก็จะทำให้เด็กสูดเอาฝุ่นละอองขนาดเล็กนี้เข้าปอดได้มากและลึกกว่าผู้ใหญ่เสียอีก ที่สำคัญฝุ่นเล็กเหล่านี้ยังสามารถเข้าสู่เซลล์ กระแสเลือด และสมอง ผ่านระบบทางเดินหายใจได้ นอกจากจะส่งผลต่อพัฒนาการด้านต่าง ๆ ของเด็กแล้ว ยังส่งผลต่อสุขภาพระยะสั้นและระยะยาวได้ด้วย เด็กที่มีปัญหาในเรื่องทางเดินหายใจ เช่น เป็นภูมิแพ้ โรคหอบหืด และโรคทางเดินหายใจอื่น ๆ จะมีอาการทันทีหลังเผชิญกับฝุ่นเป็นเวลานาน เช่น ไอ น้ำมูกไหล […]