เชื่อว่าพ่อแม่ที่มีลูกในวัยกำลังเจริญเติบโตคงไม่อยากเห็นลูกเจ็บป่วย หากจะหาวิธีใดที่ช่วยป้องกันไม่ให้ลูกป่วยก็ยินดีที่จะไปสรรหามาให้ ซึ่งนอกจากการดูแลกิจวัตรประจำวันทั่วไปแล้ว การเฟ้นหาสารสกัดหรืออาหารเสริมที่เหมาะสมกับลูกก็เป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่จะช่วยพัฒนาศักยภาพและทักษะของลูกได้ รวมถึงป้องกันไม่ให้เขาเจ็บป่วย ขัดขวางช่วงแห่งการเรียนรู้ มาดูกันครับว่าจะมีสารสกัดไหนที่ช่วยให้เด็กแข็งแรงจากภายในบ้าง 1. สารสกัดจากเบต้ากลูแคน เพิ่มภูมิกันลูกป่วย หนึ่งในสารสกัดสำคัญที่จะช่วยส่งเสริมการดูแลจากภายในสู่ภายนอกให้เด็ก เพราะช่วยกระตุ้นการทำงานของระบบภูมิคุ้มกันในร่างกาย ซึ่งภูมิคุ้มกันสำหรับเด็กถือเป็นเรื่องที่สำคัญมาก ๆ การเสริมสร้างให้ภูมิคุ้มกันแข็งแรงคือการปกป้องและลดความเสี่ยงที่พวกเขาจะป่วยได้ง่าย เพราะเด็กมีความเปราะบางและไวต่อสิ่งแปลกปลอมกว่าผู้ใหญ่มาก เนื่องจากกลไกของระบบภูมิคุ้มกันยังพัฒนาไม่เต็มที่ ซึ่งเบต้ากลูแคนสามารถเข้าไปทำงานกับเซลล์เม็ดเลือดขาวให้ได้ประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ทั้งยังช่วยลดการอักเสบ การติดเชื้อ และเป็นสารต้านอนุมูลอิสระป้องกันโรคต่าง ๆ ได้ดี นอกจากนี้ยังช่วยเรื่องการควบคุมน้ำตาลในเลือด โดยเฉพาะเด็กที่น้ำหนักเกินเกณฑ์ สามารถรับประทานเพื่อช่วยเรื่องนี้ได้ด้วย 2. สารสกัดจากกาแลกโต โอลิโกแซ็กคาไรด์ หรือ GOS หนึ่งในสารสกัดที่จำเป็นต่อเด็กอีกเหมือนกัน เพราะช่วยเรื่องการขับถ่ายอย่างเป็นระบบ ซึ่งหากเด็กขับถ่ายไม่ดีจะส่งผลต่อร่างกายหลายเรื่อง โดยเฉพาะพัฒนาการด้านร่างกายด้านอารมณ์ ซึ่งสารสกัด GOS เป็นพรีไบโอติกส์ที่ช่วยให้ระบบขับถ่ายทำงานได้อย่างสมดุลมากขึ้น ลดการติดเชื้อในลำไส้ ลดการอักเสบของเนื้อเยื่อของลำไส้ ทั้งยังช่วยไม่ให้เด็กท้องผูกด้วย ปัจจัยที่ช่วยให้ลูกแข็งแรงจากภายในการขับถ่ายเป็นเรื่องที่ละเลยไม่ได้เลยนะครับ 3. วิตามินซี ไม่ว่าจะเป็นวิตามินซีจากสารสกัด สารสกัดจากเอลเดอร์เบอร์รี หรือ อะเชลา เชอร์รี นับเป็นสองสารสกัดที่มีวิตามินซีสูงมาก ๆ ช่วยกระตุ้นภูมิคุ้มกันให้ลูก ป้องกันการติดเชื้อไวรัสอย่างไข้หวัด และมีการศึกษาว่าหากเด็กที่ได้ทานสารสกัดจากทั้งสองชนิดนี้จะช่วยให้อาการหวัดทุเลาลง ช่วยลดอาการไอ […]
“ติดเค็ม” อันตรายของผู้ป่วยโรคความดันสูงและโรคหัวใจ
พูดเรื่องการรับประทานอาหารรสเค็ม หลายคนอาจจะคิดถึง “โรคไต” แต่จริง ๆ การกินอาหารรสเค็มมีผลกระทบต่อสุขภาพมากกว่าที่หลายคนเข้าใจ โดยเฉพาะการเกิดโรคที่เกี่ยวกับความดันโลหิตสูงและหลอดเลือด รวมไปถึงหัวใจด้วย ยิ่งเฉพาะผู้ป่วยที่เป็นโรคเหล่านี้ การรับประทานอาหารรสเค็มยิ่งจะไปทำให้โรครุนแรงกว่าเดิม ทำไมการติดรสเค็มถึงอันตรายกว่าที่คิด? มีการศึกษาว่ารสอะไรที่ทำให้คนรับประทานอาหารได้มากเกินกว่าที่ร่างกายต้องการ (Overeating) โดยรสเค็มเป็นรสที่ส่งผลต่อพฤติกรรมการรับประทานอาหารมากที่สุด คือ รสเค็ม เนื่องจากรสเค็มไปกระตุ้นให้ร่างกายหลั่งสารโดปามีน ซึ่งทำให้ร่างกายรู้สึกพึงพอใจ มีความสุข ทำให้เกิดความอยากอาหาร และทำให้สมองระลึกถึงรสความอร่อยที่เป็นรสเค็มได้มากกว่ารสอื่น ๆ เมื่อรับประทานอาหารรสอื่น ๆ ที่ไม่เค็มก็จะรู้สึกอาหารไม่อร่อย หงุดหงิด จึงทำให้คนที่ติดรสเค็มเสี่ยงที่จะเกิดภาวะน้ำหนักขึ้นเร็วหรือโรคอ้วนได้ง่าย เนื่องจากรับประทานอาหารมากกว่าปกติเมื่อได้ทานอาหารรสเค็ม อาหารติดเค็มเสี่ยงต่อผู้ป่วยโรคความดันโลหิตสูงและโรคหัวใจ ผู้ป่วยความดันโลหิตสูง จะมีความผิดปกติของค่าความดันอยู่แล้ว ซึ่งการบริโภคอาหารรสเค็มยิ่งไปกระตุ้นให้ร่างกายเกิดภาวะความดันไม่ปกติ เนื่องจากร่างกายจะดูดน้ำกลับเข้าสู่กระแสเลือดเพื่อลดปริมาณเกลือลง จึงทำให้ความดันโลหิตสูงขึ้นหากผู้ป่วยบริโภคอาหารรสเค็มจัด ทั้งยังเสี่ยงที่จะทำให้เกิดภาวะช็อกจากการที่ร่างกายต้องพยายามปรับสมดุลด้วย ผู้ป่วยเปราะบางอย่างผู้อาวุโส หรือผู้ป่วยโรคเรื้อรังอื่น ๆ อาจจะเกิดภาวะแทรกซ้อนได้ ผู้ป่วยโรคหัวใจ ซึ่งจำเป็นอย่างมากจะต้องรักษาระดับความดันโลหิตให้คงที่ เพื่อให้หัวใจยังคงรักษาความสมดุลและสามารถทำหน้าที่ได้ในขณะที่รักษา แต่หากมีภาวะความดันโลหิตสูงเนื่องจากรับประทานอาหารรสเค็มอย่างต่อเนื่อง อาจจะเสี่ยงที่จะนำไปสู่ภาวะหัวใจล้มเหลว หลอดเลือดในสมองแตก เพราะมีปริมาณเกลือในกระแสเลือดและร่างกายขับออกไม่ทัน สิ่งสำคัญในการดูแลผู้ป่วยโรคหัวใจคือควบคุมปริมาณเกลือหรือโซเดียมในอาหารทุกมื้อ เสริมการดูแลผู้ป่วยโรคความดันโลหิตสูงและโรคหัวใจด้วยสารสกัดจากฮอร์ธอร์น สำหรับผู้ป่วยที่ดูแลสุขภาพช่วงที่เผชิญกับโรคความดันโลหิตสูงและโรคหัวใจ ซึ่งสองโรคนี้มีความเกี่ยวโยงกันอย่างแยกไม่ออก แนะนำรับประทานสารสกัดจากฮอร์ธอร์นเพิ่ม เพื่อบำรุงและกระตุ้นให้หัวใจและหลอดเลือดทำงานได้ดีขึ้น ช่วยให้กล้ามเนื้อหลอดเลือดขยายตัว มีความยืดหยุ่น ให้เลือดสามารถไหลเวียนได้ดี […]
ดื่มน้ำน้อย ระวังภูมิคุ้มกันตก เสี่ยงโรคร้ายและโรคลมร้อน
ร่างกายของเรามีน้ำกว่า 70% การดื่มน้ำจึงถือเป็นเรื่องจำเป็นและสำคัญมาก ๆ ในทุกวัน เพราะหากร่างกายขาดน้ำหรือดื่มน้ำไม่เพียงพออาจจะทำให้ร่างกายไม่สามารถทำงานอย่างปกติได้ แม้การดื่มน้ำดูจะไม่ใช่เป็นเรื่องยาก แต่เชื่อไหมครับว่าหลาย ๆ คนดื่มน้ำไม่เพียงพอ หรือน้อยกว่าที่ร่างกายต้องการ ซึ่งอาการที่เห็นเด่นชัดอาจจะทำให้อ่อนเพลีย นอนหลับยาก หรือภูมิคุ้มกันตกจนป่วยได้ ทำไมการดื่มน้ำจึงสำคัญขนาดนั้น มาหาคำตอบกันครับ หน้าที่ของน้ำในร่างกาย น้ำสำคัญกับทุกส่วนของการทำงานของอวัยวะในร่างกาย หน้าที่สำคัญคือเป็นตัวกลางในการเกิดปฏิกิริยาเคมีทุกชนิดที่เกิดขึ้น ทั้งการย่อยอาหาร การดูดซึมอาหาร กระบวนการเมแทบอลิซึม การขับถ่ายของเสีย การลำเลียงสารอาหารของเซลล์ ผ่านระบบการไหลเวียนเลือดในร่างกาย ซึ่งหากไม่มีส่วนผสมของน้ำเลือดจะไม่สามารถไหลเวียนได้อย่างปกติ เลือดจะหนืดข้น และอาจจะเกิดการอุดตันในหลอดเลือดได้ น้ำจึงเป็นส่วนสำคัญของการทำงานของร่างกายอย่างมาก ดื่มน้ำไม่พอส่งผลอย่างไรต่อร่างกาย 1. ท้องผูก/ริดสีดวง อาการที่เห็นได้บ่อยและชัดเจนที่สุด คือ อาการท้องผูก ขับถ่ายยาก เพราะน้ำมีส่วนในการย่อยอาหารและการขับถ่าย เหตุผลหนึ่งที่หลายคนเข้าใจว่าการรับประทานผักและผลไม้ และอาหารที่มีพรีไบโอติกส์ช่วยเรื่องการขับถ่ายอย่างเดียว แต่ลืมความสำคัญของการดื่มน้ำไป 2. ภูมิคุ้มกันตก น้ำเป็นส่วนหนึ่งในการกำจัดสารพิษและของเสียออกจากร่างกาย การดื่มน้ำในปริมาณที่น้อยเกินไป จะทำให้สารพิษหรือสิ่งแปลกปลอมสะสมในร่างกายได้ เสี่ยงที่จะทำให้ภูมิคุ้มกันในร่างกายทำงานผิดพลาด ไม่ได้ประสิทธิภาพ และอาจจะทำให้ร่างกายไม่สามารถป้องกันตัวเองจากเชื้อโรค ไวรัส หรือแบคทีเรีย ทำให้ป่วยง่ายมากขึ้น 3. เสี่ยงโรคสมองเสื่อม เนื่องจากสมองมีส่วนที่เป็นน้ำมากถึง 90% […]