ขึ้นชื่อว่าสารสกัดจากธรรมชาติ แต่ก็มีข้อน่าสังเกตที่แตกต่างกันนะครับ วันนี้มาแนะนำสารสกัดธรรมชาติที่สามารถกระตุ้นภูมิคุ้มกันร่างกายได้อย่างดี และมีประสิทธิภาพที่สุด อย่าง “เบต้ากลูแคน” และจุดน่าสังเกตก่อนเลือกซื้อรับประทาน เพื่อประสิทธิผลที่ดีและมีความปลอดภัย

เบต้ากลูแคนเหมือนกัน แต่สกัดมาจากชนิดก็ให้ประสิทธิภาพต่างกัน

เบต้ากลูแคนเป็นสารสกัดประเภทใยอาหารชนิดแป้ง หรือ “โพลีแซคคาไรด์” ซึ่งสามารถพบได้ในพืชพรรณหลายชนิดจากธรรมชาติ เช่น เห็ดต่าง ๆ ข้าวบาร์เลย์ ข้าวโอ๊ต และยีสต์ ซึ่งเบต้ากลูแคนชนิดที่มีส่วนช่วยเสริมภูมิคุ้มกันอย่างประสิทธิภาพสูงสุดเท่าที่วงการวิทยาศาสตร์รู้จักในปัจจุบัน คือ เบต้ากลูแคนที่สกัดมาจากผนังเซลล์ของยีสต์ Saccharomyces Cerevisiae ซึ่งมีส่วนช่วยในการเสริมสร้างภูมิคุ้มกันให้แก่ร่างกายได้อย่างดี เพราะเข้าไปทำงานกับเม็ดเลือดขาวได้โดยตรง อีกทั้งยังมีสารต้านอนุมูลอิสระจำนวนมาก ป้องกันและลดความเสี่ยงเป็นโรคติดต่อและโรคไม่ติดต่อได้อีกทางหนึ่ง

ชนิดของเบต้ากลูแคนที่มีประสิทธิภาพสูงสุด

เบต้ากลูแคนชนิด “เบต้า 1,3/1,6 D-กลูแคน” เป็นชนิดของเบต้ากลูแคนที่มีประสิทธิภาพสูงสุดในการเพิ่มภูมิต้านทาน ซึ่งถือเป็นใยอาหารชนิดไม่ละลายน้ำ (Insoluble Fiber) ทำให้มีคุณสมบัติในการลดไขมันคอเลสเตอรอลด้วย และยิ่งมีความบริสุทธิ์มากเท่าไหร่ก็ยิ่งมีประสิทธิภาพและความปลอดภัยต่อร่างกายตามไปด้วยนะครับ แนะนำให้เลือกเป็นแคปซูลที่ทำจากพืช (Vegetarian Capsule) ก็จะยิ่งดีครับ มั่นใจได้ว่าปลอดภัยมากขึ้นด้วย

นอกจากส่งเสริมภูมิคุ้มกันแล้วเบต้ากลูแคนมีประสิทธิภาพด้านอื่นอีก

– สารต้านอนุมูลอิสระในสารสกัดเบต้ากลูแคนถือเป็นสิ่งสำคัญอย่างมากที่ช่วยให้เซลล์ต่าง ๆ ในร่างกายสามารถทำงานได้ดีขึ้น สามารถลดความเสี่ยงที่เซลล์จะทำงานผิดพลาด ส่งผลให้กลายเป็นเซลล์ร้ายอย่างมะเร็ง หรือก้อนเนื้อที่ผิดปกติ อีกทั้งยังกระตุ้นให้ภูมิคุ้มกันในร่างกายสามารถทำลายเซลล์ที่ผิดปกติเหล่านี้ได้ก่อนที่จะส่งผลต่อสุขภาพได้ด้วย

– นอกจากนี้เบต้ากลูแคนยังช่วยลดการอักเสบ ลดการติดเชื้อได้ดี โดยเฉพาะกับผู้ป่วยที่ต้องเข้ารับการฉายรังสี หรือทำเคมีบำบัด การรับประทานเบต้ากลูแคนไปพร้อม ๆ กับการรักษา จะช่วยให้ร่างกายฟื้นตัวหลังจากการรักษาหรือป่วยได้เร็วยิ่งขึ้น ลดผลกระทบให้กับผู้ป่วย และช่วยให้ผู้ป่วยมีคุณภาพชีวิตขณะที่รักษาได้ดีขึ้น

– มีการศึกษาว่าเบต้ากลูแคนสามารถลดน้ำตาลในเลือดของผู้ป่วยโรคเบาหวานชนิดที่ 2 ซึ่งพบได้ในผู้ป่วยโรคเบาหวานร้อยละ 90 เกิดจากภาวะดื้ออินซูลิน (insulin resistance) ซึ่งนี่เป็นหนึ่งในสาเหตุสำคัญที่ทำให้เกิดโรคเบาหวานชนิดที่ 2 ในกลุ่มคนทั่วไป นอกจากนี้ยังช่วยลดคอเลสเตอรอลในร่างกายให้ไขมันในร่างกายกลับมาสมดุลขึ้น ลดความเสี่ยงที่จะเป็นโรคอ้วน ไขมันในเลือดสูง และโรคหัวใจได้ในอนาคตด้วย