เมื่ออากาศเย็นลงสังเกตได้ว่าเรามีแนวโน้มที่จะป่วยง่ายขึ้น เช่น เป็นหวัด เจ็บคอ หรือมีอาการไอ น้ำมูกไหล ซึ่งการเปลี่ยนแปลงของอุณหภูมิอาจส่งผลต่อระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย แม้ว่าอากาศเย็นเองจะไม่ทำให้เราป่วยโดยตรง แต่การเปลี่ยนแปลงนี้สามารถกระตุ้นให้ร่างกายมีความเสี่ยงต่อการติดเชื้อมากขึ้นได้ในหลาย ๆ ทาง ฉะนั้นมีวิธีป้องกันและดูแลสุขภาพช่วงที่อากาศเปลี่ยนแปลงบ่อยอย่างไร มาดูกันครับ
1. การทำงานของระบบภูมิคุ้มกันลดลง
เมื่ออุณหภูมิอากาศลดลงส่งผลต่ออุณหภูมิของร่างกายอาจจะลดลงตามไปด้วย ซึ่งส่งผลต่อประสิทธิภาพของระบบภูมิคุ้มกัน การทำงานของเม็ดเลือดขาว ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของระบบภูมิคุ้มกันที่ช่วยต่อสู้กับเชื้อโรคลดลง อาจจะทำให้ร่างกายไม่สามารถกำจัดเชื้อไวรัสหรือแบคทีเรียที่เข้าสู่ร่างกายได้เร็วเท่าที่ควร จึงเพิ่มความเสี่ยงในการติดเชื้อได้ง่ายขึ้นด้วย
2. การไหลเวียนโลหิตที่ช้าลง
อากาศเย็นทำให้หลอดเลือดหดตัวและการไหลเวียนของเลือดช้าลง ส่งผลให้เลือดและสารอาหารที่จำเป็นต่อการทำงานของระบบภูมิคุ้มกันไม่สามารถไปถึงอวัยวะและส่วนต่าง ๆ ของร่างกายได้อย่างเต็มที่ โดยเฉพาะบริเวณเยื่อเมือกในระบบทางเดินหายใจที่เป็นด่านแรกในการป้องกันเชื้อโรค การไหลเวียนโลหิตที่ช้าลงนี้ทำให้ระบบป้องกันเชื้อโรคทำงานได้ไม่เต็มที่ ทำให้เชื้อไวรัสและแบคทีเรียสามารถเจริญเติบโตได้ง่ายขึ้น
3. การเปลี่ยนแปลงสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการแพร่ของเชื้อโรค
ในช่วงที่อากาศเย็นลงหลายคนมักใช้เวลาอยู่ในบ้านหรือในที่อโคจรมากขึ้น ซึ่งทำให้มีโอกาสสัมผัสกับเชื้อโรคที่แพร่กระจายผ่านอากาศมากขึ้น นอกจากนี้เชื้อไวรัสบางชนิด เช่น ไวรัสไข้หวัดใหญ่ จะสามารถอยู่รอดและแพร่กระจายได้ดีในสภาพแวดล้อมที่เย็นและแห้ง ทำให้การแพร่ระบาดของโรคทางเดินหายใจในช่วงอากาศเย็นเกิดขึ้นได้ง่ายขึ้นกว่าปกติ
4. การทำงานของเยื่อเมือกลดลง
อากาศเย็นและแห้งส่งผลให้เยื่อเมือกในระบบทางเดินหายใจ เช่น จมูกและคอแห้งได้ง่าย เยื่อเมือกที่แห้งนี้ทำให้เชื้อโรคสามารถเข้าสู่ร่างกายได้ง่ายขึ้น เนื่องจากไม่มีความชุ่มชื้นที่ช่วยดักจับและขจัดเชื้อโรค การขาดความชุ่มชื้นในทางเดินหายใจจึงเป็นปัจจัยที่เพิ่มความเสี่ยงในการติดเชื้อได้
5. อารมณ์และระดับความเครียดที่เพิ่มขึ้น
อากาศเย็นมักทำให้หลายคนรู้สึกเหงาหรือรู้สึกเศร้ากว่าปกติ เพราะต้องจำกัดตัวเองอยู่ในที่อบอุ่น ซึ่งมีการศึกษาว่าอากาศที่เย็นลงส่งผลต่ออารมณ์และความเครียด ซึ่งความเครียดก็ส่งผลทำให้ระบบภูมิคุ้มกันทำงานได้ไม่ดีเท่าที่ควร การขาดแสงแดดยังส่งผลให้ระดับวิตามินดีในร่างกายลดลง ซึ่งวิตามินดีมีบทบาทสำคัญในการเสริมสร้างภูมิคุ้มกัน การดูแลสุขภาพจิตจึงมีความสำคัญต่อการรักษาสุขภาพภูมิคุ้มกันในช่วงฤดูหนาว
วิธีเสริมสร้างภูมิคุ้มกันในช่วงอากาศเย็น
1. รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ เช่น ผักและผลไม้ที่มีวิตามินซีสูง เช่น ส้ม กีวี ฝรั่ง และเบอร์รี เพื่อช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกัน นอกจากนี้การรับประทานโปรตีนที่เพียงพอก็มีความสำคัญต่อการสร้างแอนติบอดีให้ร่างกายอีกด้วย การรับประทานโปรตีนให้เพียงพอจึงเป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่ช่วยให้ภูมิคุ้มกันในร่างกายสามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ
2. รับประทานสารสกัดที่ช่วยกระตุ้นการทำงานของภูมิคุ้มกัน อย่าง “สารสกัดเบต้ากลูแคน” เป็นสารสกัดที่มีการศึกษาแล้วว่าสามารถกระตุ้นการทำงานของภูมิคุ้มกันอย่างมีประสิทธิภาพ สามารถรับประทานได้อย่างปลอดภัย เข้าไปทำงานกับเม็ดเลือดขาวโดยตรง อีกทั้งยังเป็นใยอาหารแบบไม่ละลายน้ำ ผู้ที่มีความเสี่ยงเบาหวานหรือความดันโลหิตสามารถรับประทานได้ นอกจากนี้ยังช่วยลดการอักเสบและติดเชื้อได้ดี มีสารต้านอนุมูลอิสระมากมายที่ช่วยลดความเสี่ยงโรคร้ายอย่างมะเร็งได้ด้วย
3. ดื่มน้ำให้เพียงพอ การดื่มน้ำช่วยให้ร่างกายชุ่มชื้นและช่วยให้เยื่อเมือกในทางเดินหายใจทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ
4. ออกกำลังกายสม่ำเสมอ ช่วยเพิ่มการไหลเวียนโลหิตและเสริมสร้างภูมิคุ้มกัน การออกกำลังกายเบาๆ อย่างการเดินหรือโยคะในช่วงที่อากาศเย็นจะช่วยให้ร่างกายอบอุ่น
5. รักษาความอบอุ่นให้ร่างกายและพักผ่อนอย่างพอเพียง สวมเสื้อผ้าที่เหมาะสมและรักษาอุณหภูมิในบ้านให้อบอุ่นเพื่อให้ระบบภูมิคุ้มกันทำงานได้อย่างเต็มที่ นอกจากนี้การนอนหลับอย่างมีประสิทธิภาพช่วยให้ร่างกายฟื้นฟูและเสริมสร้างภูมิคุ้มกัน การพักผ่อนที่เพียงพอช่วยลดความเสี่ยงในการป่วยในช่วงที่อากาศเย็นได้อีกวิธีหนึ่ง
อากาศเย็นลงมีผลต่อการทำงานของระบบภูมิคุ้มกันในหลาย ๆ ด้าน การดูแลสุขภาพจะช่วยให้เราสามารถรับมือกับการเปลี่ยนแปลงของอากาศได้ดีและรักษาภูมิคุ้มกันให้แข็งแรงในทุก ๆ ฤดูกาล ไม่ว่าอากาศจะเปลี่ยนแปลงอย่างไรก็ตาม สำหรับผู้ที่สนใจและอยากได้ข้อมูลสารสกัดเบต้ากลูแคน สามารถติดต่อทีม YOUR เพื่อปรึกษาปัญหาสุขภาพ ได้ฟรีทาง Inbox m.me/yourofficialthailand หรือ Line : @Yourthailand