สังเกตก่อน รู้ก่อน หากมีอาการเหล่านี้ ควรรีบพบแพทย์
สวัสดีครับทุกคน วันนี้เรามาทำความรู้จักกับโรค SLE ให้มากขึ้นกันดีกว่าครับ
ทางการแพทย์พบว่า โรคแพ้ภูมิตัวเองนั้น ทำให้เกิดการอักเสบเรื้อรังของอวัยวะต่างๆ และมีความรุนแรงแตกต่างกันครับ เริ่มตั้งแต่มีผื่น ปวดข้อ ไปจนถึงอาการแสดงที่มีความรุนแรงถึงเสียชีวิต ซึ่งโรคนี้พบได้บ่อยในผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย
หากอาการเริ่มต้นของ SLE ที่จะบ่งบอกว่ามีการติดเชื้อหรือมีอาการผิดปกติที่อาจบ่งชี้ว่าโรคกำเริบ เช่น อาการไข้ อ่อนเพลียมีผื่นขึ้นมากกว่าเดิม ปวดข้อ ผมร่วง มีแผลในปาก เป็นต้น ควรปรึกษาแพทย์เพื่อรับการรักษาที่ถูกต้องครับ
ซึ่งการวินิจฉัยว่าจะเป็นโรคแพ้ภูมิตัวเองหรือ SLE หรือไม่นั้น เพื่อความแม่นยำจะต้องอาศัยประวัติการเจ็บป่วยและผลเลือด แต่ก็มีเกณฑ์การวินิจฉัยเบื้องต้นได้เราสามารถสังเกตได้ด้วยตัวเองครับ ซึ่งดูได้ความผิดปรกติอย่างน้อย 4 ใน 11 ข้อดังต่อไปนี้ครับ
o ผื่นบริเวณใบหน้าและมีการกระจายเป็นรูปผีเสื้อ
o ผื่นผิวหนังชนิดที่เรียกว่าผื่นดีสคอยด์ พบได้บ่อยบริเวณใบหน้า ใบหู ลำตัว และแขนขา
o อาการแพ้แดด โดยมีผื่นผิวหนังแดงอย่างรุนแรงเมื่อโดนแดด
o มีแผลในปาก
o ข้ออักเสบ
o ไตอักเสบ โดยปริมาณโปรตีนหรือไข่ขาวในปัสสาวะมากกว่าปกติ
o อาการชักหรืออาการทางระบบประสาทอื่นๆ
o เยื่อหุ้มปอดหรือหัวใจหรือเยื่อหุ้มสมองอักเสบ
o อาการซีด เม็ดเลือดขาวต่ำ หรือเกล็ดเลือดต่ำ (ที่ไม่ได้เกิดจากยาหรือการติดเชื้อ)
o ตรวจพบแอนตินิวเคลียร์แอนติบอดี (antinuclear antibody) ในเลือด
o ตรวจพบแอนติบอดีต่อดีเอ็นเอ (anti-dsDNA) หรือการตรวจพบแอนติฟอสโฟไลปิดแอนติบอดี หรือการตรวจเลือดพบผลบวกปลอมต่อการตรวจซิฟิลิส
สำหรับการรักษาโรคแพ้ภูมิตัวเองนั้น อาจจะต้องใช้เวลาครับ เพราะโรค SLE มีระยะการรักษาที่ยาวนาน นอกจากการรักษาโรคแล้ว ผู้ป่วยควรดูแลตัวเองด้วยการทำความเข้าใจธรรมชาติ และกลไกการเกิดโรค รวมทั้งเข้าใจเหตุผลของการประเมิน ติดตามการรักษาอย่างสม่ำเสมอและต่อเนื่อง ดังนี้ครับ
• ทำจิตใจให้สงบ ไม่เครียด
• พักผ่อนให้เพียงพอและออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ
• รับประทานอาหารให้ถูกสุขลักษณะและครบหมู่ ควรรับประทานแต่อาหารที่มีประโยชน์และปรุงสุก
• หลีกเลี่ยงการโดนแสงแดดจ้า ควรใช้ครีมกันแดดที่มีค่า SPF 30 ขึ้นไปเมื่อต้องออกไปกลางแดด
• อยู่ในที่อากาศถ่ายเทได้สะดวก หลีกเลี่ยงบริเวณที่มีผู้คนหนาแน่น
• ไม่ควรตั้งครรภ์ ในขณะที่โรคยังรุนแรงหรือกำลังกำเริบ
• รับประทานยาอย่างสม่ำเสมอ
ที่สำคัญควรติดตามการรักษาอย่างสม่ำเสมอและไม่ควรหยุดยาเองอีกทั้งอาการของแต่ละคนอาจจะไม่เหมือนกันดังนั้นการดูแลรักษาผู้ป่วยแต่ละรายจึงมีความแตกต่างกันและถึงแม้ว่าจะเป็นโรคที่รักษาไม่หายแต่ผู้ป่วยสามารถมีคุณภาพชีวิตใกล้เคียงกับคนปกติครับหากดูแลตัวเองอย่างดี
แพทย์แนะนำว่า ผู้ป่วยสามารถทานวิตามินเสริมภูมิคุ้มกันควบคู่ไปกับการรักษาได้ครับ ซึ่งควรเลือกอาหารเสริมประเภท Beta Glucan (เบต้ากลูแคน) ซึ่งเป็นสารอาหารที่ช่วยปรับระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายเรา ทำให้เม็ดเลือดขาวทำงานได้อย่างถูกต้องและมีประสิทธิภาพมากกว่าเดิม ซึ่งเบต้ากลูแคนจะเข้าไปลดสารที่กระตุ้นให้ร่างกายเกิด อีกทั้งยังควบคุมไม่ให้ระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายทำงานมากเกินไป ด้วยเหตุนี้ เบต้ากลูแคนจึงไม่มีความเป็นพิษอยู่เลย ซึ่งแตกต่างจากการรักษาแผนปัจจุบันทั่วไปที่จะให้ยากดภูมิต้านทานไม่ให้ทำงาน ซึ่งมีความเสี่ยงสูงต่อคนไข้ และมีโอกาสเป็นพิษได้นั่นเองครับ
อ้างอิง:
- กรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข
- Centers for Disease Control and Prevention, http://wonder.cdc.gov/cmf-icd10.html