ป้องกันด้วยการเสริมภูมิคุ้มกัน
หลายคนอาจจะเคยได้ยินโรคงูสวัด (Shingles) แต่อาจจะไม่รู้ถึงความร้ายแรงของโรค โดยโรคนี้เป็นโรคที่เกิดจากเชื้อไวรัสวาริเซลลา-ซอสเตอร์ (Varicella-Zoster Virus: VZV) ซึ่งเป็นไวรัสชนิดเดียวกับที่ทำให้เกิดโรคอีสุกอีใส เมื่อเราหายจากอีสุกอีใสแล้ว ไวรัสตัวนี้จะยังคงแฝงอยู่ในร่างกายและสามารถกลับมาออกฤทธิ์อีกครั้งเมื่อภูมิคุ้มกันอ่อนแอลง โดยเฉพาะในผู้สูงอายุ ผู้ที่มีโรคเรื้อรัง หรือผู้ที่อยู่ในภาวะเครียดเรื้อรัง
สาเหตุของโรคงูสวัด
เมื่อภูมิคุ้มกันอ่อนแอลง “ไวรัสวาริเซลลา-ซอสเตอร์” ที่แฝงตัวอยู่ในปมประสาทสามารถถูกกระตุ้นให้กลับมาแบ่งตัวและแพร่กระจายไปตามแนวเส้นประสาท ส่งผลให้เกิดผื่นแดงและตุ่มน้ำขึ้นบริเวณผิวหนัง โดยมักพบที่บริเวณลำตัวหรือใบหน้า
ปัจจัยที่ทำให้ภูมิคุ้มกันอ่อนแอและเพิ่มความเสี่ยงต่อโรคงูสวัด
– อายุที่เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะผู้ที่มีอายุมากกว่า 50 ปีขึ้นไป
– ความเครียดเรื้อรัง
– โรคเรื้อรัง เช่น เบาหวาน ความดันโลหิตสูง และโรคหัวใจ
– การใช้ยากดภูมิคุ้มกัน เช่น ยาสเตียรอยด์ หรือการทำคีโม
– การนอนหลับไม่เพียงพอ และการรับประทานอาหารที่ไม่ได้รับโภชนาการที่เหมาะสม
อาการของโรคงูสวัด
อาการเริ่มต้น: มีอาการปวดแสบปวดร้อนหรือคันตามแนวเส้นประสาท ก่อนที่จะมีผื่นขึ้นประมาณ 1-3 วัน
ระยะที่มีผื่น: ผื่นแดงจะเริ่มกลายเป็นตุ่มน้ำใสและลุกลามตามแนวเส้นประสาท
ระยะฟื้นตัว: ตุ่มน้ำจะแตกและแห้งเป็นสะเก็ด ใช้เวลาประมาณ 2-4 สัปดาห์กว่าจะหาย
ในบางกรณี โดยเฉพาะในผู้สูงอายุ อาการปวดเส้นประสาทอาจยังคงอยู่แม้ว่าผื่นจะหายไปแล้ว ซึ่งเรียกว่า “ภาวะปวดเส้นประสาทเรื้อรัง” และอาจส่งผลต่อคุณภาพชีวิตอย่างมาก
ป้องกันโรคงูสวัดด้วยการเสริมภูมิคุ้มกัน
1. การรับประทานอาหารที่ช่วยเสริมภูมิคุ้มกัน
– รับประทานโปรตีนจากพืช เช่น ถั่วเหลือง เต้าหู้ ปลา และไข่ ช่วยเสริมสร้างเซลล์ภูมิคุ้มกัน
– ผักและผลไม้หลากสี เช่น ส้ม ฝรั่ง บรอกโคลี และแครอท อุดมไปด้วยวิตามินซีและสารต้านอนุมูลอิสระ
– ไขมันดี เช่น น้ำมันมะกอก อะโวคาโด และถั่วต่าง ๆ ช่วยลดการอักเสบในร่างกาย
– ธัญพืชเต็มเมล็ด เช่น ข้าวกล้องและควินัว ช่วยให้ร่างกายได้รับพลังงานอย่างสม่ำเสมอ
2. การรับประทานสารสกัดจากเบต้ากลูแคนเพื่อเสริมภูมิคุ้มกัน
เบต้ากลูแคนเป็นสารประกอบที่พบในธรรมชาติ เช่น ยีสต์ ข้าวโอ๊ต และธัญพืชบางชนิด มีคุณสมบัติช่วยกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกันโดยทำให้เซลล์เม็ดเลือดขาวทำงานได้มีประสิทธิภาพมากขึ้น งานวิจัยพบว่าเบต้ากลูแคนช่วยผู้ที่ต้องการเสริมภูมิคุ้มกันให้แข็งแรง โดยการทำงานของเบต้ากลูแคนจะเข้าไปช่วยกระตุ้นเซลล์ภูมิคุ้มกันเม็ดเลือดขาวขนาดใหญ่, เม็ดเลือดขาว นิวโตรฟิล และช่วยกระตุ้นเซลล์ภูมิคุ้มกัน เอ็น เค เซลล์ (Natural Killer Cell) โดยเซลล์ภูมิคุ้มกันทั้ง 3 ประเภท ถือว่ามีหน้าที่สำคัญมาก ๆ ต่อร่างกาย โดยจะทำการค้นหา และทำลายเชื้อโรคแปลกปลอมที่เข้าสู่ร่างกายของมนุษย์ได้รวดเร็ว แม่นยำ พร้อมกันส่งสัญญาณเตือนไปยังเซลล์ต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง เพื่อกระตุ้นภูมิคุ้มกันของร่างกายทำงานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ
3. การออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอและการนอนหลับให้เพียงพอ
การออกกำลังกายช่วยกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกัน ลดความเครียด และเสริมสร้างระบบไหลเวียนโลหิต การออกกำลังกายที่เหมาะสมสำหรับผู้สูงอายุ ได้แก่ เดินเร็ว โยคะ และว่ายน้ำ รวมไปถึงการนอนหลับที่มีคุณภาพอย่างน้อย 7-8 ชั่วโมงต่อคืน จะช่วยให้ร่างกายผลิตเซลล์ภูมิคุ้มกันและลดความเสี่ยงต่อการติดเชื้อ
4. การฉีดวัคซีนป้องกันโรคงูสวัด
วัคซีนป้องกันงูสวัด (Shingles Vaccine) เช่น Shingrix เป็นอีกทางเลือกที่ช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดโรค และลดความรุนแรงของอาการได้มากถึง 90% โดยแนะนำให้ผู้ที่มีอายุ 50 ปีขึ้นไปเข้ารับการฉีดวัคซีน
แม้โรคงูสวัดจะเป็นโรคที่สามารถรักษาให้หายได้ แต่ที่น่าเป็นกังวลคืออาการแทรกซ้อนต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น โดยเฉพาะกับผู้ที่เปราะบางอย่างผู้สูงอายุหรือกระทั่งเด็กก็ตาม หากไม่ได้รับการดูแลหรือพบแพทย์อย่างทันถ่วงทีก็อาจจะเสี่ยงต่อชีวิตได้ ซึ่งการเพิ่มเกราะป้องกันด้วยการกระตุ้นให้ระบบภูมิคุ้มกันทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ และสม่ำเสมอ จะช่วยลดความเสี่ยงที่จะทำให้ไวรัสงูสวัดออกฤทธิ์ได้ สำหรับใครที่สนใจสารสกัดจากเบต้ากลูแคนที่ช่วยเพิ่มภูมิคุ้มกันให้ร่างกาย สามารถปรึกษาได้ฟรีทาง Inbox m.me/yourofficialthailand หรือ Line : @Yourthailand