ในช่วงที่ผ่านมา สถานการณ์การระบาดของโรคโควิด-19 ยังคงเปลี่ยนแปลงอย่างต่อเนื่อง ด้วยการปรากฏของสายพันธุ์ใหม่ที่มีการแพร่กระจายที่รวดเร็วและอาจมีผลกระทบต่อประสิทธิภาพของวัคซีน การดูแลสุขภาพและเสริมสร้างภูมิคุ้มกันจึงเป็นสิ่งสำคัญมากขึ้นกว่าเดิม ชวนมาทบทวนวิธีการดูแลสุขภาพและเสริมสร้างภูมิคุ้มกันเพื่อรับมือกับโควิดสายพันธุ์ใหม่กัน
โควิด-19 2567
โควิดล่าสุดที่ระบาดอยู่ในไทยขณะนี้เป็นสายพันธุ์ JN.1 ที่เป็นสายพันธุ์ย่อยของโอมิครอน ซึ่งกลายพันธุ์มาจากสายพันธุ์ย่อยโอมิครอนอย่าง BA.2.86 อีกที ดังนั้นก็ยังไม่ใช่โควิดสายพันธุ์ใหม่อย่างที่กังวลกัน ทั้งนี้ โควิด JN.1 มีความสามารถในการแพร่กระจายเชื้อได้ง่ายและรวดเร็ว เนื่องจากดื้อต่อภูมิคุ้มกันมากกว่าสายพันธุ์อื่น ๆ หลายเท่า อีกทั้งสามารถติดเชื้อซ้ำได้ แต่ความรุนแรงของโรคไม่ได้เพิ่มขึ้นจากสายพันธุ์เดิม
อาการเป็นอย่างไร?
อาการของโควิดระลอกใหม่นี้อาจจะมีความแตกต่างจากเดิมบ้าง แต่อาการไม่รุนแรงเท่าที่กังวล เดิมจะมีอาการทางเดินหายใจส่วนล่าง หลอดลม และปอด กลายเป็นอาการของทางเดินหายใจส่วนบน คอ จมูก แทนมากกว่า โดยผู้ที่ติดเชื้อในประเทศมีอาการเด่น เช่น เจ็บคอมาก ๆ มีไข้ต่ำ มีน้ำมูก คัดจมูกเล็กน้อย จมูกได้กลิ่น อาการไออาจจะไม่ได้เด่นชัดเหมือนที่ผ่านมา สามารถรับประทานยาตามอาหาร และพักผ่อนให้เพียงพอ ก็จะสามารถหายจากการติดเชื้อได้ภายใน 5-7 วัน
ทบทวนการดูแลตัวเองในช่วงโควิดระบาดอีกครั้ง
– การสวมหน้ากากอนามัยเสมอ เมื่อต้องอยู่ในสถานที่ที่แออัด หรือต้องใช้สถานที่ร่วมกับคนจำนวนมาก เพื่อช่วยลดการแพร่กระจายของเชื้อไวรัส และป้องกันไวรัสเข้าสู่ร่างกาย เช่น การเข้าร่วมคอนเสิร์ต งานแสดงสินค้า รวมไปถึงการเข้าฝึกอบรมต่าง ๆ
– การล้างมือบ่อย ๆ ด้วยสบู่และน้ำหรือแอลกอฮอล์ ลดการติดเชื้อ และนำเชื้อเข้าสู่ร่างกาย
– ลดการสัมผัสกับผู้อื่นและหลีกเลี่ยงการอยู่ในสถานที่ที่มีคนหนาแน่น
– ฉีดวัคซีนกระตุ้นภูมิคุ้มกัน เพื่อเสริมสร้างภูมิคุ้มกันต่อเชื้อไวรัสและลดความรุนแรงของโรค โดยเฉพาะกลุ่มเปราะบาง เช่น ผู้สูงอายุและเด็ก ที่มีระบบภูมิคุ้มกันที่อ่อนแอกว่าทั่วไป
การเสริมสร้างภูมิคุ้มกันยังสำคัญเสมอ
ภูมิคุ้มกันเป็นระบบที่ซับซ้อนและมีความสำคัญอย่างยิ่งในการป้องกันและต่อสู้กับการติดเชื้อ รวมถึงเชื้อไวรัสโควิด-19 การมีภูมิคุ้มกันที่แข็งแรงไม่เพียงแต่ช่วยลดความเสี่ยงในการติดเชื้อ แต่ยังช่วยลดความรุนแรงของอาการหากติดเชื้ออีกด้วย ฉะนั้นไม่ควรละเลยในการดูแลระบบภูมิคุ้มกัน
1. การรับประทานอาหารที่มีประโยชน์
อาหารที่มีคุณค่าทางโภชนาการสูงช่วยเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกันได้อย่างมีประสิทธิภาพ ควรรับประทานอาหารที่หลากหลายและครบถ้วนทุกหมวดหมู่ เช่น
ผักและผลไม้: มีวิตามินและแร่ธาตุที่สำคัญ เช่น วิตามิน C, วิตามิน A, และสังกะสี ซึ่งช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกัน
โปรตีน: จากแหล่งต่าง ๆ เช่น เนื้อสัตว์ไม่ติดมัน ถั่ว และผลิตภัณฑ์นม ช่วยในการสร้างเซลล์ภูมิคุ้มกัน
ไขมันดี: เช่น โอเมก้า-3 จากปลาแซลมอน และอะโวคาโด ช่วยลดการอักเสบและเสริมสร้างการทำงานของระบบภูมิคุ้มกัน
2. การออกกำลังกาย
การออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกัน ลดความเสี่ยงในการติดเชื้อ และช่วยลดความเครียด ควรเลือกกิจกรรมที่เหมาะสมกับสภาพร่างกายและสุขภาพ แต่อย่างไรก็ควรใช้เวลาในการออกกำลังกายอย่างน้อง 150 นาที/สัปดาห์
3. การนอนหลับเพียงพอ
การนอนหลับที่เพียงพอเป็นสิ่งสำคัญในการเสริมสร้างภูมิคุ้มกัน ผู้ใหญ่ควรนอนหลับอย่างน้อย 7-8 ชั่วโมงต่อคืน เพื่อให้ร่างกายมีเวลาฟื้นฟูและเสริมสร้างเซลล์ภูมิคุ้มกัน การนอนหลับไม่เพียงพอเป็นปัจจัยที่ทำให้ภูมิคุ้มกันตก และทำให้ระบบภูมิคุ้มกันทำงานได้ไม่เต็มประสิทธิภาพ
4. การรับประทานสารสกัดที่ช่วยกระตุ้นภูมิคุ้มกัน
การรับประทานสารสกัดจากเบต้ากลูแคนช่วยกระตุ้นภูมิคุ้มกันได้อย่างมีประสิทธิภาพ สะดวก ปลอดภัย สามารถทานได้ตั้งแต่เนิ่น ๆ โดยไม่ต้องรอให้ป่วย เลือกชนิดเบต้า 1,3/1,6 D-กลูแคน ซึ่งถือเป็นใยอาหารชนิดไม่ละลายน้ำ (Insoluble Fiber) ทำให้มีคุณสมบัติในการลดไขมันคอเลสเตอรอล ช่วยให้การทำงานและบำรุงเซลล์เม็ดเลือดขาว และเพิ่มจำนวนเม็ดเลือดขาวให้พร้อมทำงานเมื่อมีสิ่งแปลกปลอมเข้ามาในร่างกาย ทั้งยังลดการอักเสบ การติดเชื้อได้ดี เป็นสารต้านอนุมูลอิสระ (Antioxidant) และจากงานวิจัยทั่วโลก เบต้ากลูแคนยังมีส่วนช่วยสำหรับผู้ป่วยโรคมะเร็งอีกด้วย
แม้โควิดระลอกใหม่จะไม่ได้อันตรายมาก แต่ไม่ควรนิ่งนอนใจ การดูแลสุขภาพอย่างใส่ใจและสม่ำเสมอยังคงจำเป็นอย่างมาก สำหรับใครที่สนใจสารสกัดเบต้ากลูแคนที่มีประสิทธิภาพ ติดต่อทีม YOUR เพื่อปรึกษาปัญหาสุขภาพ ได้ฟรีทาง Inbox m.me/yourofficialthailand หรือ Line : @Yourthailand