รู้จักเบาหวานและวิธีการดูแลให้มากขึ้น

ถึงแม้ว่าในปัจจุบัน จำนวนผู้ป่วยโรคเบาหวานมีแนวโน้มเพิ่มมากขึ้น แต่ผู้เป็นโรคนี้ส่วนหนึ่งเกิดจากพฤติกรรมในชีวิตประจำวัน โดยเฉพาะกลุ่มวัยทำงานอายุ 35 ปีขึ้นไป ซึ่งสามารถปรับเปลี่ยนพฤติกรรมเพื่อลดความเสี่ยงที่จะเป็นโรคเบาหวานให้น้อยลงได้

โรคเบาหวาน คือ ภาวะที่ร่างกายไม่สามารถควบคุมระดับน้ำตาลได้ ทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดสูงอยู่ตลอดเวลา

สำหรับโรคเบาหวานแบ่งออกเป็น 4 ประเภท ดังนี้ครับ

ประเภทที่ 1 พบในเด็กและวัยรุ่น พบมากในชาวตะวันตก กลุ่มนี้ร่างกายขาดอินซูลินถาวร ต้องพึ่งการฉีดอินซูลินตลอดชีวิต ร่างกายค่อนข้างผอม 

ประเภทที่ 2 พบในผู้ใหญ่ เป็นเบาหวานที่พบได้ทั่วไป ซึ่งผู้ป่วยเบาหวานของไทยส่วนใหญ่อยู่ในประเภทนี้ เกิดจากร่างกายดื้อต่ออินซูลิน คนไข้มักจะอ้วน 

ประเภทที่ 3 เบาหวานที่พบระหว่างการตั้งครรภ์ เป็นผลจากฮอร์โมนของการตั้งครรภ์ ภาวะของโรคจะดีขึ้นหลังคลอด แต่คุณแม่จะมีความเสี่ยงเป็นเบาหวานได้อีก

ประเภทที่ 4 เกิดจากโรคต่อมไร้ท่อ ร่างกายสร้างสเตียรอยด์มากไป  หรือการใช้ยาบางอย่างที่มีสเตียรอยด์ อาการจะดีขึ้นเมื่อรักษาหรือหยุดยา

แล้วจะรู้ได้อย่างไรว่าร่างกายกำลังส่งสัญญาณว่าอาจจะเป็นเบาหวาน 

ผู้ป่วยโรคเบาหวานจะมีอาการกระหายน้ำบ่อยครับ ปัสสาวะบ่อยและปัสสาวะปริมาณมาก ทำให้ร่างกายสูญเสียน้ำและเกลือแร่ ส่งผลให้อ่อนเพลียและน้ำหนักลดลง บางรายถึงขั้นไตวายและเสียชีวิต ผู้ป่วยบางรายจะมีผื่นอับชื้นที่เกิดจากเชื้อราตามซอกพับ มีตกขาว ตาพร่ามัว และชาตามปลายมือปลายเท้า

สิ่งที่น่าวิตกและเป็นสาเหตุการเสียชีวิตของผู้ป่วยเบาหวานคือ โรคแทรกซ้อนเรื้อรังครับ ซึ่งอาการที่พบได้บ่อยคือ

–        โรคแทรกซ้อนเรื้อรังของเบาหวานในจอประสาทตา ทำให้จอประสาทตาเสื่อม มีเลือดออกในดวงตา ส่งผลให้ตาบอด ซึ่งหากมีการตรวจคัดกรองพบภาวะเบาหวาน จะช่วยป้องกันภาวะตาบอดได้

–        โรคแทรกซ้อนเรื้อรังของเบาหวานที่ไต พบโปรตีนปะปนออกมากับปัสสาวะ หากปล่อยไว้ไม่รักษา ไตจะทำงานได้น้อยลงและเกิดภาวะไตวายในที่สุด ซึ่งสามารถตรวจคัดกรองได้จากการตรวจปัสสาวะ

–        โรคเส้นประสาทชา คนไข้จะไม่มีความรู้สึก เมื่อเกิดการกระทบกระแทกทางร่างกายจึงไม่รู้สึกเจ็บ ทำให้เกิดบาดแผลได้ง่าย และบาดแผลรักษาได้ยาก เนื่องจากการหมุนเวียนของโลหิตไม่ดี ในบางรายแม้ไม่มีบาดแผลก็พบอาการเลือดไม่ไหลเวียน จึงมีคนไข้ที่ต้องสูญเสียอวัยวะไปจำนวนมาก

นอกจากนี้ยังพบอาการอัมพาตและโรคหัวใจได้บ่อยในคนไข้เบาหวาน ซึ่งคนไข้เบาหวานที่เป็นโรคหัวใจจะไม่มีอาการเจ็บเตือน ทำให้เกิดอาการหัวใจวายฉับพลัน รวมถึงมีความเสี่ยงจะเกิดโรคหลอดเลือดสมองอีกด้วย

ส่วนผู้ที่ถือว่าเป็นกลุ่มเสี่ยงที่เป็นโรคเบาหวานคือ ผู้ที่มีอายุ 35 ปีขึ้นไป มีภาวะอ้วนลงพุง ผู้ที่ไม่ออกกำลังกายหรือมีกิจกรรมเคลื่อนไหวน้อย ซึ่งพนักงานออฟฟิศก็ถือว่ามีภาวะเสี่ยงเช่นกัน รวมถึงผู้ป่วยที่ใช้ยาเสตียรอยด์ และผู้ที่เคยมีประวัติเป็นโรคเบาหวาน หรือคนในครอบครัวมีประวัติป่วยเป็นโรคเบาหวาน เนื่องจากปัจจัยเสี่ยงหลักของเบาหวานคือพันธุกรรมด้วยครับ

ปรับพฤติกรรมเลี่ยงเบาหวาน

–        หากไม่อยากเกี่ยวข้องกับโรคเบาหวาน ทุกคนสามารถปรับพฤติกรรมเพื่อหลีกเลี่ยงภาวะเบาหวานได้โดย ออกกำลังกายแบบคาร์ดิโอ ให้กล้ามเนื้อเคลื่อนไหวต่อเนื่องจนมีเหงื่อซึม หัวใจเต้นแรง อย่างน้อย 30 นาทีขึ้นไป สัปดาห์ละ 3-5 วัน ซึ่งการออกกำลังกายช่วยลดความเสี่ยงการเป็นเบาหวาน หรือชะลอการเป็นเบาหวานออกไปได้ครับ

–        ระมัดระวังการบริโภคอาหาร โดยเฉพาะประเภทแป้งและน้ำตาลเพื่อไม่ให้เกิดภาวะอ้วนลงพุง และสำหรับผู้ป่วยจำเป็นต้องอยู่ในการดูแลของโภชนากรเพื่อการรักษาที่ได้ผลนะครับ

–        สำหรับผู้ป่วยที่เป็นเบาหวาน สามารถทานอาหารเสริมชนิด ‘เบต้ากลูแคน’ ควบคู่กับการรักษาได้ เพราะเบต้ากลูแคน มีลักษณะเป็นเส้นใยอาหารที่สามารถชะลอไม่ให้น้ำตาลเข้าสู่กระแสเลือดเร็วเกินไป ทำให้น้ำตาลค่อย ๆ ไหลเข้าสู่กระแสเลือดแบบที่ควรจะเป็น ลดระดับความต้องการอินซูลินของร่างกายลงได้ อีกทั้งเบต้ากลูแคนยังเป็นสารอาหารที่ช่วยฟื้นฟูสภาพของตับอ่อน ซึ่งทำหน้าที่ผลิตอินซูลินตามธรรมชาติ ให้กลับมาทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้นอีกด้วยครับ

เห็นไหมครับว่า โรคเบาหวาน หากเป็นแล้วถือว่าไม่เบาเลยทีเดียว ดังนั้น ควรเช็คสุขภาพเป็นประจำทุกปี หากตรวจเจอว่าเป็นภาวะโรคเบาหวานแต่เนิ่น ๆ จะได้ทำการรักษาและป้องกันโรคแทรกซ้อนได้ทันท่วงทีครับ