เคยเป็นไหม? อยู่ ๆ ก็รู้สึกเวียนหัว บ้านหมุน ยืนทรงตัวไม่อยู่ หลายคนอาจจะคิดว่าลุกเร็ว นั่งพักเดียวก็หาย แต่อาการแบบนี้กลับเป็นบ่อยขึ้น ถี่ขึ้น และรู้สึกกระทบกับการใช้ชีวิต ซึ่งอาการแบบนี้อาจจะเกิดจาก “โรคน้ำในหูไม่เท่ากัน”
ซึ่งโรคนี้เกิดขึ้นได้กับคนทั่วไปโดยเฉพาะวัยทำงาน สาเหตุมีหลากหลายปัจจัย พามารู้จักโรคนี้ วิธีรักษา รวมไปถึงการรักษาสมดุลให้ร่างกายเพื่อป้องกันโรคนี้กันครับ
โรคน้ำในหูไม่เท่ากันคืออะไร?
โรคน้ำในหูไม่เท่ากัน หรือ โรคมีเนีย (Meniere’s disease) เป็นสาเหตุของโรคที่พบอันดับสองของสาเหตุอาการเวียนศีรษะ ส่วนใหญ่มักเป็นกับหูเพียงข้างเดียว หรือสามารถเป็นได้ทั้งสองข้าง แต่พบได้ไม่บ่อยนัก เกิดจากความผิดปกติของน้ำในชั้นหูชั้นใน ซึ่งโดยปกติจะมีน้ำในปริมาณที่พอดีกับการทำงานของเซลล์ประสาท ที่มีหน้าที่ควบคุมการทรงตัวและการได้ยิน แต่เมื่อเกิดความผิดปกติขึ้น เช่น การดูดซึมน้ำในหูไม่ดี ทำให้น้ำในชั้นหูชั้นในมีปริมาณมากกว่าปกติ ส่งผลต่อเซลล์ประสาทที่ควบคุมการทรงตัวและการได้ยิน ทำให้เกิดการเวียนหัว หูอื้อ และอาจจะไม่ได้ยินชั่วขณะ เป็นต้น
สาเหตุของการเกิดโรคน้ำในหูไม่เท่ากันมาจากอะไร?
โรคนี้สามารถเป็นได้ทุกเพศทุกวัย โดยเฉพาะในวัยทำงานช่วงอายุ 30 ปีขึ้นไป ซึ่งยังไม่สามารถระบุสาเหตุได้ชัดเจน แต่มีปัจจัยที่อาจจะมีส่วน เช่น กรรมพันธุ์ของโครงสร้างหูชั้นในผิดปกติ โดยพบแต่กำเนิด โรคภูมิแพ้ที่ส่งผลต่อการไอ จาม คัดจมูก ที่จะทำให้หูอื้อได้ หรือกระทั่งการติดเชื้อไวรัส หูชั้นกลางอักเสบ หูน้ำหนวก หรือเคยประสบอุบัติเหตุที่ศีรษะ หรือโรคที่เกี่ยวกับเบาหวาน ไทรอยด์ และไขมันในเลือดสูง ก็เป็นหนึ่งในสาเหตุที่อาจทำให้เกิดโรคนี้ได้
สำรวจตัวเองก่อนเป็นโรคน้ำในหูไม่เท่ากัน
อาการที่สังเกตได้: เวียนศีรษะรุนแรง บ้านหมุน เดินไม่ได้ ไม่สามารถทรงตัวได้ขณะเดินในระยะใกล้ ๆ หน้ามืด บางครั้งรู้สึกคลื่นไส้ร่วมอยู่ด้วย ซึ่งอาจจะทำให้เป็นลมล้มหมดสติ หากผู้ป่วยมีอายุยิ่งอันตราย หรือเกิดในขณะที่ไม่สามารถมีผู้พบเห็น อาจจะทำให้ผู้ป่วยเกิดอันตรายได้
อาการร่วม: ได้ยินไม่ชัดเจน หูอื้อ มีเสียงแปลก ๆ เป็น ๆ หาย ๆ บางครั้งมีเสียงดังในหู รู้สึกหน่วง คล้ายมีแรงดันในหู เป็นต้น
โรคน้ำในหูไม่เท่ากันรักษาได้
โรคนี้สามารถรักษาได้หากตรวจวินิจฉัยได้โดยเร็ว โดยการใช้ยาเพื่อบรรเทา เพื่อลดสภาวะอาการบวมของชั้นหูชั้นใน ลดการคั่งน้ำ และยาที่ลดอาการคลื่นไส้ ตลอดจนใช้ยาเพื่อลดความเครียด และยาที่รักษาระบบประสาท หรือการรักษาอีกวิธีคือการผ่าตัดเพื่อระบายน้ำที่คั่งอยู่ในชั้นหูชั้นใน ซึ่งวิธีการนี้จะใช้ในผู้ป่วยที่มีอาการรุนแรง ที่เสี่ยงที่จะควบคุมตัวเองไม่ได้ และหากมีอาการแล้วอาจจะสร้างความอันตรายต่อชีวิตได้
รักษาสมดุลร่างกายป้องกันโรคน้ำในหูไม่เท่ากัน
การรักษาสมดุลในร่างกายถือเป็นอีกหนึ่งวิธีที่จะช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดโรคน้ำในหูไม่เท่ากัน โดยวิธีการหนึ่งคือการรับประทานสารสกัดจาก “เบต้ากลูแคน” ซึ่งเป็นสารสกัดที่ช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกัน ซึ่งนับเป็นวิธีที่ทำให้ระบบภูมิคุ้มกันสมดุล สามารถทำงานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ และให้ร่างกายพร้อมรับมือเมื่อต้องเผชิญกับสิ่งแปลกปลอมที่จะเข้าสู่ร่างกาย ทั้งยังมีสารต้านอนุมูลอิสระที่ช่วยลดความเสี่ยงจากโรคร้ายอย่างมะเร็ง ที่สำคัญเบต้ากลูแคนยังช่วยควบคุมน้ำตาลในเลือด และไขมันในเลือดได้ด้วย ซึ่งสองโรคนี้ถือเป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่ทำให้เกิดโรคน้ำในหูไม่เท่ากันด้วย